นอนกรนเกิดจากอะไร เจาะลึกสาเหตุ พร้อมวิธีรักษาและป้องกัน

นอนกรนเกิดจากอะไร
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน

อาการนอนกรนเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย และมักถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญที่รบกวนการนอนของคนข้างกาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เสียงกรนอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าที่คิด บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุของอาการนอนกรน ลักษณะของเสียงกรนที่อาจเป็นอันตราย พร้อมทั้งแนวทางการรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี

นอนกรน คืออะไร

การนอนกรน (Snoring) คือเสียงที่เกิดขึ้นขณะหลับซึ่งหลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้ว่าการนอนกรนทั่วไปอาจไม่เป็นอันตราย แต่หากมีเสียงดังและส่งผลกระทบต่อการนอนหลับอย่างผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้สำคัญของภาวะหยุดหายใจขณะหลับซึ่งภาวะดังกล่าวไม่เพียงรบกวนการพักผ่อน แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงอื่น ๆ ตามมาได้ในระยะยาว หรือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

เจาะลึกกลไกหลักที่ทำให้เกิดอาการนอนกรน

เสียงนอนกรนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือโคนลิ้น ในขณะที่เราหลับกล้ามเนื้อในบริเวณนี้จะผ่อนคลายตัวลง ทำให้ทางเดินหายใจแคบลงกว่าปกติ เมื่ออากาศเคลื่อนที่ผ่านช่องทางที่แคบลงนี้ จะทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศที่ไม่ราบรื่น ส่งผลให้เนื้อเยื่อโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือนและกลายเป็นเสียงกรนที่เราได้ยิน

สาเหตุของการนอนกรน

สาเหตุของอาการนอนกรน

อาการนอนกรน เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เมื่อช่องทางเดินหายใจเกิดการตีบแคบลงขณะหลับ ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยปัจจัยที่นำไปสู่การนอนกรนนั้นมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถจำแนกสาเหตุหลักได้จากปัจจัยทางกายภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังต่อไปนี้

  • อายุที่เพิ่มขึ้น : กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและลิ้นจะสูญเสียความตึงตัวและหย่อนคลายลง ทำให้เมื่อนอนหลับอวัยวะเหล่านี้จึงตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
  • ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน : จะส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจแคบลงโดยธรรมชาติ เมื่อนอนหลับกล้ามเนื้อผ่อนคลายจึงยิ่งเสี่ยงต่อการถูกปิดกั้นได้ง่าย
  • เพดานอ่อนและลิ้นไก่ยาวหรือหนา : ทำให้เมื่อหายใจเข้าออกขณะหลับ เนื้อเยื่อส่วนนี้จะเกิดการสั่นสะเทือนและปิดกั้นช่องลมได้
  • ต่อมทอนซิลหรือต่อมอดีนอยด์โต : พบได้บ่อยในเด็ก โดยต่อมเหล่านี้ที่อยู่บริเวณหลังโพรงจมูกและช่องคอจะขยายใหญ่ขึ้น จนไปเบียดช่องทางเดินหายใจทำให้ลมหายใจผ่านได้ไม่สะดวก
  • โคนลิ้นหนาหรือใหญ่ : เมื่อนอนหลับโดยเฉพาะในท่านอนหงาย ลิ้นอาจจะตกลงไปด้านหลังและอุดกั้นช่องทางเดินหายใจได้
  • ปัญหาในช่องจมูก : เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคดหรือภูมิแพ้ จะทำให้ต้องหายใจทางปากแทน ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เพดานอ่อนและลิ้นไก่หย่อนลงมาปิดกั้นช่องคอ
  • การนอนหงาย : ซึ่งแรงโน้มถ่วงจะดึงให้โคนลิ้นและเพดานอ่อนตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าท่านอนตะแคง
  • การดื่มแอลกอฮอล์ : มีฤทธิ์กดประสาทและทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอคลายตัวมากกว่าปกติขณะหลับ ส่งผลให้ทางเดินหายใจยุบตัวและตีบแคบลงได้ง่ายขึ้น
  • การใช้ยาบางชนิด : เช่น ยานอนหลับ หรือยาคลายกล้ามเนื้อ มีผลทำให้กล้ามเนื้อคอหอยและทางเดินหายใจส่วนบนคลายตัวมากเกินไปในขณะหลับ
  • การสูบบุหรี่ : ทำให้เยื่อบุในระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองและอักเสบบวม ส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจตีบแคบลงและเกิดเสียงกรน
  • ความเหนื่อยล้า : กล้ามเนื้อทุกส่วนรวมถึงบริเวณลำคอจะยิ่งผ่อนคลายตัวมากเป็นพิเศษเมื่อเข้าสู่ภาวะหลับลึก ทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้นได้ง่าย

จะรู้ได้อย่างไรว่าเรานอนกรน

โดยปกติแล้วผู้ที่มีภาวะนอนกรนมักไม่ทราบถึงอาการของตนเองในขณะหลับ ดังนั้นการสังเกตจากบุคคลรอบข้างและสัญญาณทางร่างกายจึงเป็นวิธีเบื้องต้นในการประเมิน อย่างไรก็ตามหากการนอนกรนมีลักษณะที่รุนแรงหรือสงสัยว่ามีภาวะอื่นร่วมด้วย การตรวจการนอนหลับ หรือโปรแกรม Sleep Test ก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีการวินิจฉัยที่ให้ข้อมูลได้ค่อนข้างแม่นยำ และสามารถเลือกใช้บริการได้หลากหลาย

ระดับความรุนแรงของการนอนกรน

อาการนอนกรนสามารถแบ่งความรุนแรงของอาการได้หลายระดับ โดยหลัก ๆ แล้วจะพิจารณาจาก ความถี่ ความดัง และผลกระทบต่อการหายใจ โดยถ้านอนกรนรุนแรงมากขึ้นก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหยุดหายใจขณะหลับได้ ซึ่งการวินิจฉัยทางการแพทย์จะต้องอาศัยการตรวจ Sleep Test เพื่อวัดค่าดัชนีหยุดหายใจและหายใจแผ่วเบา (Apnea-Hypopnea Index – AHI) เป็นหลัก โดยมีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้

การนอนกรนธรรมดา

เป็นการนอนกรนที่มีค่าดัชนี AHI น้อยกว่า 5 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วยังไม่ส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แม้ผู้ป่วยอาจมีอาการนอนกรนให้ได้ยิน แต่ยังไม่พบความผิดปกติของการหายใจที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย หรือยังไม่เสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดไม่รุนแรง

สำหรับค่าดัชนี AHI ระหว่าง 5-14 ครั้งต่อชั่วโมง บ่งชี้ถึงการนอนกรนที่เริ่มมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระดับที่ไม่รุนแรง ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้ โดยการนอนกรนในระดับนี้เป็นสัญญาณที่ควรได้รับการประเมินและแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมอาการ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดปานกลาง

ผู้ที่มีค่าดัชนี AHI ในช่วง 15-29 ครั้งต่อชั่วโมง จัดเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับปานกลาง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง และโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักมีอาการนอนกรนที่ผิดปกติ ซึ่งแพทย์มักแนะนำให้เข้ารับการรักษาที่เหมาะสม

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ชนิดรุนแรง

เมื่อค่าดัชนี AHI สูงกว่า 30 ครั้งต่อชั่วโมงขึ้นไป จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับรุนแรง ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจนบ่อยครั้งและรุนแรง ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยอาการนอนกรนในกลุ่มนี้เป็นสัญญาณเตือนของภาวะสุขภาพที่ร้ายแรงและจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว

นอนกรนอันตรายไหม

อาการนอนกรนแบบไหนอันตราย

ในบางกรณีการนอนกรนอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะสุขภาพ หรือเป็นการนอนกรนที่เข้าข่ายอันตรายอย่างอาการหยุดหายใจขณะหลับ โดยมักมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากการกรนทั่วไป ที่สามารถสังเกตได้จากอาการที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับและอาการในตอนกลางวัน ดังนี้

  • เสียงกรนดังไม่สม่ำเสมอ และมีจังหวะหยุดหายใจเป็นพัก ๆ
  • สะดุ้งตื่นกลางดึกคล้ายคนสำลักน้ำ
  • กลางวันง่วงซึม อ่อนเพลีย ทั้งที่นอนเต็มที่
  • ตื่นเช้าพร้อมอาการคอแห้งหรือเจ็บคอ
  • หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่คงที่
  • เหงื่อออกชุ่มตอนกลางคืน หรือปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ

ผลกระทบจากอาการนอนกรน

อาการนอนกรนมักถูกเข้าใจว่าเป็นเพียงเสียงที่สร้างความรำคาญยามค่ำคืน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาวะดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบเชิงลึกได้มากกว่าที่คาดคิด ทั้งยังอาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวผู้ที่นอนกรน แต่ยังขยายวงกว้างไปสู่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ตลอดจนบั่นทอนสุขภาพและคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • มีปัญหากับความสัมพันธ์ของคนนอนข้าง ๆ
  • ประสิทธิภาพในการทำงานหรือการเรียนลดลง
  • ส่งผลกระทบต่อการเข้าสังคม
  • เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ปวดศีรษะตอนเช้าเป็นประจำ
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า
  • ควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้น

นอนกรนรักษายังไง

แนะนำหัตถการรักษาอาการนอนกรน

ปัจจุบันมีการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ สำหรับรักษาอาการนอนกรนหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับสาเหตุและระดับความรุนแรงของแต่ละบุคคล ตั้งแต่การใช้อุปกรณ์ไปจนถึงการผ่าตัด ซึ่งแต่ละวิธีมีก็จะมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • การทำโปรแกรมเลเซอร์แก้นอนกรน : คือการใช้พลังงานเพื่อกระชับเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อน ช่วยลดการสั่นสะเทือนอันเป็นสาเหตุของเสียงกรน
  • การทำโปรแกรม CPAP แก้นอนกรน : คือการใช้เครื่องสร้างแรงดันอากาศบวกต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการยุบตัวของทางเดินหายใจส่วนบนขณะหลับ
  • การใช้เครื่องมือทางทันตกรรม : คือการใช้อุปกรณ์ (Oral Appliance) เพื่อจัดตำแหน่งขากรรไกรล่างและลิ้นให้เหมาะสม ช่วยเปิดช่องทางเดินหายใจ
  • การผ่าตัดบริเวณช่องจมูก : คือการผ่าตัดเพื่อลดขนาดและปรับเปลี่ยนเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อน เพื่อขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น
  • การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่ : คือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติทางโครงสร้างภายในโพรงจมูก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจทางจมูก

*ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเพื่อเลือกวิธีรักษาอาการนอนกรนที่เหมาะกับความรุนแรง และลักษณะอาการของแต่ละบุคคล แนะนำให้สอบถามหรือแจ้งข้อมูลให้แพทย์ทราบก่อนใช้บริการ

วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการนอนกรน

นอกจากการลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการนอนกรน จะสามารถทำได้ด้วยวิธีหัตถการทางการแพทย์แล้ว ก็ยังจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมร่วมกัน โดยมีแนวทางที่ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

  • ลดน้ำหนัก
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • นอนศีรษะสูงเล็กน้อย
  • ดูแลความสะอาดห้องนอน
  • เพิ่มความชื้นในอากาศ
  • ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
  • บริหารกล้ามเนื้อลิ้นและลำคอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล

สรุปสาเหตุของการนอนกรน

อาการนอนกรน คือปัญหาการนอนที่ทำให้เกิดเสียงดังขณะหลับ โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลากหลายทั้งทางด้านกายภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งแม้ว่าการนอนกรนทั่วไปอาจไม่เป็นอันตราย แต่หากรุนแรงมากขึ้น ก็อาจเป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวและจำเป็นต้องได้รับการประเมินและรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้การเลือกวิธีรักษาจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมแก้นอนกรน หรือสอบถามรายละเอียดหัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ที่

ช่องทางการติดต่อ

 

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัท ฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาทองหล่อ

แหล่งข้อมูล

Cleveland Clinic. (2022, October 18). Snoring: What it is, causes, and how to stop snoring. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15580-snoring

Mayo Clinic Staff. (2023, October 6). Snoring.
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/snoring/symptoms-causes/syc-20377694

Snoring: Causes, cures, and dangers. (2023, November 15). WebMD.
https://www.webmd.com/sleep-disorders/sleep-apnea/snoring

แชร์บทความ :
บทความโดย
ทีมเขียนบทความด้านสุขภาพและความงามจาก APEX Medical Center ที่ทำงานร่วมกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อกลั่นกรองข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย และนำไปใช้ได้จริง
โปรโมชั่นสุดพิเศษ
หมวดหมู่
สาระจากบริการ
บทความล่าสุด
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
หยุดหน้ายุบ บอกลาหน้าแก่ก่อนวัย
บทความน่ารู้

หยุดหน้ายุบ บอกลาหน้าแก่ก่อนวัย ให้ผิวสวยใส อิ่มฟู

เมื่อไหร่ที่สัญญาณหน้ายุบเริ่มมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแก้มตอบ ขมับยุบ ใต้ตาลึก ก็อาจทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเหนื่อยล้า ไม่สดใส และดูมีอายุเกินกว่าวัย

อ่านต่อ »
เซตผิวดารา คืออะไร
บทความน่ารู้

เซตผิวดารา คืออะไร รวมหัตถการ 3 ตัวดัง ช่วยอะไรได้บ้าง

เซตผิวดารา หรือโปรแกรม Skin Celeb เป็นโปรแกรมดูแลผิวฉบับดารา ที่รวบรวมหลากหลายหัตถการที่ช่วยในการแก้ปัญหาผิวหลาย ๆ อย่าง เพื่อตอบโจทย์การมีผิวสวยกระจ่างใสฉบับดารา

อ่านต่อ »
Exclusive Event เปิดตัวโปรแกรม OligioX
ข่าวและกิจกรรม

Exclusive Event เปิดตัวโปรแกรม OligioX เทคโนโลยี GXG ครั้งแรกที่ APEX

APEX Hospital & Clinics ศูนย์ความงามและศัลยกรรมตกแต่งอันดับหนึ่งของเอเชีย สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งกับงาน “APEX Deal of The Year” งานอีเวนต์สุดยิ่งใหญ่เพื่อขอบคุณลูกค้าทุกความไว้วางใจ

อ่านต่อ »
OligioX vs Oligio ต่างกันยังไงบ้าง
บทความน่ารู้

โปรแกรม OligioX vs Oligio ต่างกันอย่างไร เลือกตัวไหนดี

โปรแกรม OligioX เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวรุ่นใหม่ที่พัฒนาต่อยอดมาจากโปรแกรม Oligio เดิม โดยจุดเด่นที่สุดคือเทคโนโลยี GXG Dual-Mode ที่สามารถส่งพลังงานได้ทั้งแบบตื้นและลึก

อ่านต่อ »