เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังและกล้ามเนื้อบนใบหน้ามักเริ่มหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วง ความชัดเจนของกรอบหน้าค่อย ๆ เลือนหาย ร่องแก้มลึกขึ้น และผิวขาดความยืดหยุ่นอย่างเห็นได้ชัด การดูแลด้วยการทำหัตถการอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ Facelift หรือการผ่าตัดดึงหน้า จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการผ่าตัดศัลยกรรมที่ช่วยยกกระชับใบหน้าอย่างชัดเจนในระยะยาว ช่วยทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ได้ วันนี้เรามาดูกันว่า ดึงหน้าช่วยอะไรบ้าง และมีเทคนิคอะไรบ้างในการทำ Facelift
โปรแกรม Facelift ดึงหน้า คืออะไร
โปรแกรม Facelift หรือการผ่าตัดดึงหน้า คือหัตถการศัลยกรรมเพื่อยกกระชับผิวและกล้ามเนื้อใบหน้าที่หย่อนคล้อย ให้กลับมากระชับ เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดและปรับตำแหน่งที่กล้ามเนื้อชั้นลึก (SMAS) พร้อมกับตัดผิวหนังส่วนเกินออกและเย็บกลับเข้าไปใหม่ เทคนิคนี้ช่วยแก้ไขปัญหาร่องลึก แก้มตก คางหย่อน หรือกรอบหน้าไม่ชัดเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่นาน
ปัญหาบนใบหน้าแบบไหนที่ทำโปรแกรม Facelift ช่วยได้
โปรแกรม Facelift เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าและลำคอที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลงไป โดยปัญหาที่การดึงหน้าสามารถช่วยแก้ไขได้อย่างชัดเจน ได้แก่
- ผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและกรอบหน้า ทำให้หน้าดูโทรม ไม่สดใส กรอบหน้าไม่ชัด
- ร่องแก้มลึก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่และเหนื่อยล้า
- มุมปากตก ทำให้ใบหน้าดูเศร้า หงุดหงิด ไม่เป็นมิตร
- เหนียงและคางสองชั้น เกิดจากไขมันสะสมและผิวหย่อนคล้อยบริเวณใต้คาง
- ลำคอหย่อนคล้อยหรือมีรอยย่น มักทำควบคู่กับโปรแกรม Neck Lift เพื่อผลลัพธ์ที่ดูกลมกลืน
- ริ้วรอยลึกบนใบหน้า ช่วยลดความชัดของร่องลึกจากการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ
อายุเท่าไหร่ถึงควรทำศัลยกรรมดึงหน้า
โดยทั่วไปแล้ว การศัลยกรรมดึงหน้า มักเหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อยชัดเจน เช่น ร่องแก้มลึก แก้มตก แนวกรอบหน้าไม่ชัด หรือมีเหนียงใต้คาง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าต้องรอให้เข้าสู่วัยกลางคนจึงจะสามารถทำได้ เพราะบางคนอาจมีโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพเร็วจากพันธุกรรม การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่หรือโดนแดดบ่อย จึงอาจพิจารณาทำโปรแกรม Facelift ได้ตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในเทคนิคดึงหน้าที่เหมาะกับคนอายุน้อยและมีปัญหาเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้การตัดสินใจควรอยู่ภายใต้การประเมินโดยแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคนมากที่สุด
การเตรียมตัววางแผนก่อนทำโปรแกรม Facelift
การทำศัลยกรรมดึงหน้า เป็นการผ่าตัดใหญ่ช จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพิ่มความปลอดภัยในการทำ และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้า เลือกเทคนิคที่เหมาะสม และวางแผนร่วมกันให้ตรงกับความคาดหวังของผู้รับบริการ
- ตรวจสุขภาพก่อนการผ่าตัด รวมถึงการตรวจเลือด วัดความดัน เจาะประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่ใช้อยู่ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย
- งดยาและวิตามินบางชนิดล่วงหน้า 7–14 วัน โดยเฉพาะกลุ่มยาแอสไพริน, วิตามินอี, สมุนไพรบางชนิด หรือยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟกช้ำหรือเลือดออกมาก
- วางแผนวันพักฟื้นและวันหยุดงาน ควรเผื่อเวลาหยุดพักประมาณ 10–14 วันหลังผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวเต็มที่ และลดอาการบวมช้ำก่อนกลับเข้าสู่กิจกรรมปกติ
- งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะสารในบุหรี่และแอลกอฮอล์อาจรบกวนการสมานแผล และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
- จัดเตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับการดูแลหลังผ่าตัดไว้ล่วงหน้า เช่น หมอนรองคอ, หน้ากากประคบเย็น, อาหารย่อยง่าย และคนดูแลในช่วงวันแรกหลังผ่าตัด
การดูแลหลังผ่าตัดดึงหน้า ข้อห้ามและข้อควรระวัง
หลังการผ่าตัดดึงหน้า การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องในช่วงพักฟื้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดอาการบวมช้ำ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และส่งเสริมให้ผลลัพธ์ออกมาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยข้อควรระวังหลัก ๆ มีดังนี้
- นอนยกศีรษะสูงอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ ใช้หมอนรองคอหรือหมอนหนุนสูงเพื่อลดอาการบวม ไม่ควรนอนราบหรือนอนตะแคงเพื่อป้องกันแรงกดที่แผล
- งดล้างหน้า สระผม หรือให้แผลโดนน้ำในช่วง 3–5 วันแรก เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเบา ๆ แทนในช่วงแรก และรอให้แพทย์อนุญาตก่อนเริ่มทำความสะอาดตามปกติ
- หลีกเลี่ยงการออกแรง ยกของหนัก หรือออกกำลังกาย 2–4 สัปดาห์ เพราะการเพิ่มความดันโลหิตอาจกระตุ้นให้เลือดออกใต้ผิวหนังหรือแผลบวมมากขึ้น
- งดแต่งหน้า ทาครีม หรือใช้สกินแคร์บริเวณแผลผ่าตัด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีหรือแอลกอฮอล์ อาจทำให้ระคายเคืองหรือแผลหายช้า
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด เพราะอาจรบกวนกระบวนการสมานแผลและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือแผลเป็น
- ไม่ควรจับ กด หรือสัมผัสแผลบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้แผลเปิดหรือเคลื่อนตัวของเนื้อเยื่อที่กำลังสมาน
- มาตรวจติดตามตามนัดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แพทย์ประเมินการหายของแผล ถอดไหม และดูแลป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
ทำไมต้องโปรแกรม Facelift ดึงหน้าที่ APEX
การทำศัลยกรรมดึงหน้า ต้องอาศัยทั้งทักษะของแพทย์ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน ดังนั้นการเลือกสถานที่ทำโปรแกรม Facelift จึงควรคำนึงถึงหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ประสบการณ์ของศัลยแพทย์ ที่ควรมีผลงานจริงและรีวิวที่ตรวจสอบได้ อีกทั้งสถานพยาบาลต้องได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงมีการติดตามผลหลังทำอย่างใกล้ชิด มีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลตลอดกระบวนการ ตั้งแต่ก่อนทำ ระหว่างทำ จนถึงช่วงพักฟื้น
APEX Surgery Hospital เป็นทางเลือกหนึ่งในโรงพยาบาลศัลยกรรม ที่มีศัลยแพทย์ในด้านการศัลยกรรมดึงหน้า พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายในโรงพยาบาล เราให้ความสำคัญทั้งเรื่องความปลอดภัย และความพึงพอใจของผู้เข้ารับบริการ เพื่อให้ทุกเคสออกมาสวย ดูเป็นธรรมชาติ หากสนใจสามารถนัดจองคิวปรึกษาแพทย์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาได้เลยนะคะ
ช่องทางการติดต่อ
- Tel : 080-500-0123
- Line : @apexbeauty
- Tiktok : apexprofoundbeauty
- Facebook : APEX Hospital & Beauty Clinic
- Instagram : apexbeauty
- Youtube : Apex Beauty Clinic
- X (Twitter) : ApexProfound
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัท ฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ APEX Surgery Hospital : โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเอเพ็กซ์ สาขาเพลินจิต









