ดวงตาที่ดูเหนื่อยล้าและใบหน้าที่ดูมีอายุกว่าวัย อาจมีสาเหตุมาจาก ‘ภาวะหางตาตก’ ที่อาจไม่ทันสังเกต นั่นก็เพราะเมื่อผิวหนังบริเวณหางตาเริ่มหย่อนคล้อยลงมา ก็จะทำให้มาบดบังดวงตาจนดูเหมือนว่าดวงตาเล็กลง ไม่สดใสเหมือนเคย ซึ่งแม้ว่าจะดูเหมือนปัญหาเล็ก ๆ แต่ในความจริงกลับส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และความสดใสของใบหน้า ทำให้ดูอ่อนล้า และบั่นทอนความมั่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ในปัจจุบันถือเป็นข้อดี ที่มีทางเลือกซึ่งช่วยอำนวยความสะดวก และแก้ปัญหาหนักใจนี้ให้กับทุกคนได้มากขึ้น เพราะ Apex ได้รวบรวมแนวทางการรักษาปัญหาหางตาตกที่น่าสนใจสำหรับปี 2025 มาให้แล้วแบบจัดเต็ม เพื่อเป็นข้อมูลให้ทุกคนได้พิจารณา เพื่อช่วยคืนความสดใส กล้าที่จะเผยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจได้อีกครั้ง
หางตาตกคืออะไร ? สัญญาณและผลกระทบที่ควรรู้
หางตาตก (Droopy Eyelids/Outer Corner Droop) คือภาวะที่มุมด้านนอกของดวงตาหรือบริเวณหางตา มีลักษณะหย่อนคล้อยหรือตกลงต่ำกว่าระดับปกติ หรือต่ำกว่าระดับของหัวตา ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากกระบวนการเสื่อมสภาพตามวัย ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวสูญเสียความยืดหยุ่น คอลลาเจนลดลง รวมถึงกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ช่วยพยุงผิวหนังรอบดวงตาอ่อนแรงลง
สัญญาณที่สังเกตได้ชัดเจน คือรูปทรงของดวงตาที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหางตาจะดูชี้ลง ทำให้ภาพรวมของดวงตาดูเศร้าหมอง ไม่สดใส ขาดความกระฉับกระเฉง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสวยงาม ทำให้ใบหน้าดูมีอายุมากขึ้น ดูเหนื่อยล้าตลอดเวลาแม้ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ และอาจบั่นทอนความมั่นใจได้ นอกจากนี้ ในบางรายอาจรู้สึกหนักบริเวณเปลือกตา หรือสังเกตเห็นความยากลำบากในการกรีดอายไลเนอร์ให้สวยงามเหมือนเดิม
สรุปสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาจมีภาวะหางตาตก
- มุมหางตาดูชี้ลง ทำให้ดวงตาดูเศร้า
- ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ดูมีอายุ แม้พักผ่อนเพียงพอ
- กรีดอายไลเนอร์ได้ยากขึ้น หรือต้องวิงหางตาให้สูงกว่าปกติ
- รู้สึกหนัก ๆ บริเวณเปลือกตาด้านนอก
- ในบางรายที่ตกมาก อาจบดบังการมองเห็นด้านข้างเล็กน้อย
ลักษณะของหางตาตก แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
หางตาตก เป็นคำที่ใช้เรียกลักษณะปัญหาที่มองเห็น ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การแบ่งประเภทแบบชัดเจน อาจไม่ได้ตายตัวมากนัก แต่โดยทั่วไปสามารถแบ่งลักษณะหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาหางตาตกได้ ดังนี้
- หางตาตกแบบผิวหนังเปลือกตาหย่อนคล้อย : ผิวหนังเปลือกตาบนหย่อนเกิน ลงมาปิดทับบริเวณหางตา ทำให้ตาดูตกและเศร้า
- หางตาตกแบบภาวะกล้ามเนื้อยกเปลือกตาอ่อนแรง : ขอบเปลือกตาบนเอง (แนวขนตา) ตกลงมาต่ำกว่าปกติ ทำให้ตาดูปรือและหางตาเฉียงลง
- หางตาตกแบบเอ็นยึดมุมตาด้านนอกหย่อน : มุมหางตา (จุดที่เปลือกตาบนล่างมาเจอกัน) หย่อนยานและตกลงต่ำกว่าระดับปกติ
- หางตาตกแบบภาวะคิ้วตก : ตำแหน่งคิ้วโดยเฉพาะส่วนหางคิ้วตกลงมา กดเนื้อเปลือกตาบน ทำให้หางตาดูอูมและตก
สาเหตุของปัญหาหางตาตก
- ผิวหนังหย่อนคล้อย : คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังลดลงตามอายุ ทำให้ผิวหนังเปลือกตาบนสูญเสียความยืดหยุ่นและหย่อนคล้อยลงมา โดยเฉพาะบริเวณหางตา
- กล้ามเนื้อยกเปลือกตาอ่อนแรงหรือหย่อนยาน : กล้ามเนื้อที่ใช้ยกเปลือกตา (Levator palpebrae superioris) หรือเอ็นยึดกล้ามเนื้อ (Aponeurosis) อาจยืดออกหรืออ่อนแรงลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ขอบเปลือกตา หรือหางตาตกลงมา
- การเปลี่ยนแปลงของไขมัน : ไขมันบริเวณเปลือกตาอาจฝ่อลงหรือเคลื่อนที่ ทำให้ผิวหนังดูหย่อนคล้อยมากขึ้น
- ภาวะหนังตาตกแต่กำเนิด (Congenital Ptosis) : เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อยกเปลือกตาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทำให้เปลือกตาตกข้างเดียวหรือสองข้างตั้งแต่เกิด
- สาเหตุจากการบาดเจ็บ : การบาดเจ็บบริเวณเปลือกตา เบ้าตา หรือศีรษะ อาจทำให้กล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมการยกเปลือกตาเสียหาย
- พฤติกรรม : การสูบบุหรี่ การตากแดดจัดโดยไม่ป้องกัน อาจเร่งให้ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวหนังบริเวณดวงตา หรือหางตาตกลงได้ง่ายขึ้น
รวมวิธีแก้หางตาตกยอดนิยม ไม่ผ่าตัด VS ผ่าตัด เลือกแบบไหนดี
วิธีแก้หางตาตกแต่ละวิธีต่างก็มีจุดเด่น ข้อจำกัด ระยะเวลาพักฟื้น ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ และความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของปัญหาหางตาตก สภาพผิว โครงสร้างรอบดวงตา งบประมาณ และความต้องการของแต่ละบุคคล การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของวิธีแก้หางตาตกยอดนิยมทั้งสองกลุ่มนี้ จะช่วยให้สามารถพิจารณาและตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตนเองได้ดียิ่งขึ้น ดังนี้
วิธีแก้หางตาตกแบบไม่ผ่าตัด
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกไม่มาก หรือผู้ที่ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ หรือต้องการชะลอความหย่อนคล้อย ซึ่งมีให้เลือกหลายหัตถการ ดังนี้
- การใช้โปรแกรมยกกระชับ : ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ หรือคลื่นวิทยุความถี่สูง ส่งพลังงานลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ช่วยยกกระชับผิวบริเวณรอบดวงตาและหน้าผาก ทำให้หางตาดูยกขึ้นเล็กน้อย ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป และดูเป็นธรรมชาติ เช่น โปรแกรม Ultherapy, โปรแกรม HIFU, โปรแกรม Thermage
- การร้อยไหม : ใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณขมับหรือหางตา เพื่อดึงรั้งผิวหนังให้ยกขึ้น ช่วยแก้ปัญหาหางตาตกได้ค่อนข้างชัดเจน เห็นผลทันที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราว
- โปรแกรมฉีดสารเติมเต็ม : แพทย์อาจทำการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์บริเวณขมับหรือใต้คิ้ว เพื่อช่วยเสริมโครงสร้างและพยุงผิวหนัง ทำให้หางตาดูยกขึ้น เป็นวิธีที่ช่วยเสริมมากกว่าการแก้ไขโดยตรง
- โปรแกรมโบท็อก : โปรแกรมโบท็อก นิยมใช้บริเวณกล้ามเนื้อที่ดึงคิ้วลง เช่น กล้ามเนื้อรอบดวงตาบางส่วน จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ดึงคิ้วขึ้นทำงานได้เด่นขึ้น ส่งผลให้คิ้วและหางตาดูยกขึ้นเล็กน้อย
วิธีแก้หางตาตกแบบผ่าตัด (Surgical Options)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกปานกลางถึงมาก ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและค่อนข้างยาวนาน โดยมีเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- การผ่าตัดยกหางตาตกโดยตรง : เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับตำแหน่งเอ็นยึดมุมตาด้านนอก (Lateral Canthal Tendon) ให้สูงขึ้น หรือเย็บกระชับให้ตึงขึ้น เป็นวิธีที่แก้ไขที่สาเหตุโดยตรง ทำให้มุมหางตายกขึ้นค่อนข้างนาน โดยแผลผ่าตัดมักซ่อนอยู่บริเวณขอบตาด้านนอกหรือรอยย่นหางตา
- การผ่าตัดยกคิ้ว : มีหลายเทคนิค เช่น โปรแกรมยกคิ้วผ่านกล้อง Endoscopic Brow Lift หรือโปรแกรยกคิ้วใต้แนวคิ้ว Sub-brow Lift ซึ่งการยกคิ้วขึ้นจะช่วยดึงผิวหนังบริเวณเปลือกตา และหางตาให้ดูยกตามขึ้นไปด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะคิ้วตก ร่วมกับปัญหาหางตาตก
- การผ่าตัดหนังตาบน : ในบางกรณีที่หางตาตกเกิดจากหนังตาส่วนเกินหย่อนลงมาทับบริเวณหางตา การผ่าตัดนำหนังตาส่วนเกินออก ก็สามารถช่วยให้หางตาดูเปิดและยกขึ้นได้ อาจทำร่วมกับการยกหางตาโดยตรงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีน่าพอใจ
- การผ่าตัดยกกระชับขมับ : เป็นการผ่าตัดดึงผิวหนังบริเวณขมับให้ตึงขึ้น ซึ่งจะช่วยยกหางคิ้วและหางตาไปพร้อมกัน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
ปัญหาหางตาตกกวนใจ ควรเลือกวิธีการไหนเหมาะสมที่สุด
ปัญหาหางตาตกที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ไม่สดใส และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ เป็นสิ่งที่หลายคนกังวล ดังนั้นการตัดสินใจเลือกวิธีแก้ไขที่เหมาะสมจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เนื่องจากแต่ละวิธีต่างก็มีข้อดี ข้อจำกัด ตลอดจนความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยการพิจารณาข้อมูลเหล่านี้อย่างรอบด้าน จึงช่วยให้เลือกแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองได้ ดังนี้
ระดับความรุนแรงของภาวะหางตาตก (Severity Level)
การประเมินระดับความหย่อนคล้อยของผิวหนังบริเวณดวงตา เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก หากหางตาตกเพียงเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงยังไม่ชัดเจนมากนัก การเลือกใช้วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น การใช้โปรแกรมเครื่องยกกระชับ การร้อยไหม โปรแกรมโบท็อกยกหางตา หรือโปรแกรมฟิลเลอร์ยกหางตา อาจให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้
ในทางกลับกัน หากหางตาตกในระดับปานกลางถึงมาก ซึ่งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปตาได้อย่างชัดเจน หรือส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ค่อนข้างมาก การผ่าตัดศัลยกรรมมักเป็นทางเลือกที่ให้ประสิทธิภาพในการแก้ไขที่ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดเจนกว่า
ความคาดหวังต่อผลลัพธ์ (Expected Outcome)
ผู้รับการบริการควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อที่จะได้เลือกวิธีการที่ตอบโจทย์ได้ หากต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไป ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่คงสภาพได้นานมากนัด วิธีที่ไม่ผ่าตัดอาจเหมาะสมกว่า เนื่องจากผลลัพธ์มักจะค่อย ๆ ปรากฏและอยู่ได้ชั่วคราว
แต่สำหรับใครซึ่งต้องการการแก้ไขที่เห็นผลค่อนข้างชัดเจน และให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ค่อนข้างยาวนาน การผ่าตัดถือเป็นทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ความคาดหวังได้ดีกว่า แต่อาจจะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างรอบดวงตา หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัดศัลยกรรม
ระยะเวลาในการพักฟื้น (Recovery Time)
ข้อจำกัดด้านเวลาเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณา เพราะวิธีแก้ปัญหาหางตาตกที่ไม่ต้องผ่าตัดส่วนใหญ่ จะมีข้อดีคือใช้ระยะเวลาพักฟื้นค่อนข้างน้อย หรือแทบไม่ต้องพักฟื้นเลยหลังทำเสร็จ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำหรับผู้ที่มีภารกิจรัดตัว หรือไม่สะดวกที่จะหยุดพักนาน ๆ เพราะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
ในขณะที่การผ่าตัด อาจจำเป็นต้องมีระยะเวลาสำหรับการพักฟื้นที่นานกว่า ซึ่งอาจรวมถึงอาการบวม ช้ำ และมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมบางอย่างในช่วงแรก ผู้ที่เลือกวิธีผ่าตัดจึงต้องแน่ใจว่าสามารถจัดสรรเวลาสำหรับการดูแลตัวเองหลังการศัลยกรรมด้อย่างเหมาะสม และเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาพักฟื้นด้วย
งบประมาณ
ค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นปัจจัยที่มีความแตกต่างกัน โดยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น โปรแกรมเครื่องยกกระชับ ร้อยไหมยกหางตา หรือโปรแกรมฉีดต่าง ๆ มักมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ต่ำกว่า ทำให้ดูเข้าถึงง่ายในเบื้องต้น แต่เนื่องจากผลลัพธ์อยู่ได้เพียงชั่วคราว อาจจำเป็นต้องกลับมาทำซ้ำเป็นระยะ ๆ เพื่อคงสภาพ ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสะสมเพิ่มขึ้นในระยะยาว
ส่วนการผ่าตัดแก้หางตาตก แม้จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงกว่า อาจต้องพิจารณาถึงความพร้อมด้านงบประมาณ แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่สามารถคงอยู่ได้ค่อนข้างยาวนานกว่า นั้นจึงให้ความคุ้มค่ามากกว่าในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาชัดเจนและต้องการผลลัพธ์ที่ค่อนข้างชัดเจน
คำแนะนำจากแพทย์
ปัจจัยนี้ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะการปรึกษาแพทย์โดยตรง จะช่วยให้ได้รับการประเมินสภาพปัญหา โครงสร้างทางกายวิภาคเฉพาะบุคคล และปัจจัยอื่น ๆ อย่างละเอียด โดยแพทย์จะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยง และความเหมาะสมของแต่ละวิธีสำหรับผู้รับบริการแต่ละราย ได้ค่อนข้างดีกว่าการหาข้อมูลด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันและชะลอปัญหาหางตาตก
แม้ว่าปัญหาหางตาตกบางส่ว นจะเกิดจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น พันธุกรรม หรือความเสื่อมสภาพของผิวตามวัย แต่เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์หลังทำหัตถการคงอยู่ได้นาน หรือชะลอและลดความรุนแรงของปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมได้ ด้วยการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ดังนี้
ปกป้องผิวรอบดวงตาจากแสงแดด
- ทาครีมกันแดด : ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง และมีคุณสมบัติป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ทาบริเวณรอบดวงตาเป็นประจำทุกวัน แม้ในวันไม่มีแดดจัด
- สวมแว่นกันแดด : เลือกแว่นที่ได้มาตรฐาน สามารถป้องกันรังสียูวีได้ เพื่อปกป้องทั้งดวงตาและผิวหนังรอบดวงตา
- ใส่หมวกปีกกว้าง : ช่วยเพิ่มการป้องกันแสงแดดที่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผิวรอบดวงตา
- ไม่ขยี้ตาแรง ๆ : เพราะการขยี้ตาด้วยความรุนแรงเป็นประจำ อาจเป็นการทำร้ายผิวที่บอบบางรอบดวงตาโดยตรง และอาจส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อยกเปลือกตาในระยะยาว หากมีอาการคันตา ควรหาสาเหตุและรักษา (เช่น ภูมิแพ้) หรือใช้การประคบเย็นแทนการขยี้
- เช็ดเครื่องสำอางอย่างเบามือ : ใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ และเช็ดออกอย่างนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการดึง ถู หรือยืดผิวหนังบริเวณเปลือกตา
- บำรุงผิวรอบดวงตา : ด้วยการทาอายครีมเป็นประจำ โดยเลือกอายครีมที่มีส่วนผสมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เช่น เรตินอยด์ (ใช้อย่างระมัดระวัง), เปปไทด์, วิตามินซี, ไฮยาลูรอนิกแอซิด ทาอย่างเบามือเช้าและเย็น
- คงความชุ่มชื้น : ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวโดยรวมชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์
- งดสูบบุหรี่ : เพราะการสูบบุหรี่ อาจเป็นปัจจัยที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นและแก่ก่อนวัย รวมถึงผิวรอบดวงตาที่เสื่อมโทรม ทำให้เกิดปัญหาหางตาตก
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีน และไขมันดี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิว รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ
- พักผ่อนให้เพียงพอ : การนอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยให้ร่างกายและผิวหนังได้ซ่อมแซมตัวเอง
- จัดการความเครียด : ความเครียดเรื้อรังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงสุขภาพผิว
- ระมัดระวังในการใส่คอนแทคเลนส์ : โดยเฉพาะคอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง การดึงเปลือกตาขณะใส่หรือถอดเป็นประจำ อาจส่งผลต่อเอ็นกล้ามเนื้อยกเปลือกตาได้ในระยะยาว ควรทำอย่างระมัดระวังและนุ่มนวล
สรุปวิธีแก้ปัญหาหางตาตก ควรเลือกแบบไหนดี
การเลือกวิธีแก้ปัญหาหางตาตกที่เหมาะสมนั้น มีความสำคัญและไม่ควรมองข้าม เนื่องจากในปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลาย ตั้งแต่วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดไปจนถึงการผ่าตัดศัลยกรรมโดยตรง ดังนั้นการตัดสินใจที่ดีที่สุดจึงควรพิจารณาจากสาเหตุของปัญหา ระดับความรุนแรง ความคาดหวังผลลัพธ์ และข้อจำกัดส่วนบุคคล ควบคู่ไปกับการปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินและรับคำแนะนำที่ตรงจุด ให้ทุกคนได้แนวทางการแก้ปัญหาที่ตอบโจทย์ และดูแลให้ปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้น
สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาในการแก้หางตาตก หรือสอบถามรายละเอียดหัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ที่
ช่องทางการติดต่อ
- Tel : 080-500-0123
- Line : @apexbeauty
- Tiktok : apexprofoundbeauty
- Facebook : APEX Hospital & Beauty Clinic
- Instagram : apexbeauty
- Youtube : Apex Beauty Clinic
- X (Twitter) : ApexProfound
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัท ฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ APEX Surgery Hospital : โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเอเพ็กซ์ สาขาเพลินจิต










