โรคเบาหวาน เป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เป็นปัญหาสุขภาพซึ่งมีการเฝ้าระวังทั้งทั่วโลกและในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ป่วยซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการทำความเข้าใจโรคเบาหวานอย่างถ่องแท้ ตั้งแต่สาเหตุ สัญญาณเตือนเบื้องต้น ไปจนถึงการดูแลรักษาและป้องกันอย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนเพื่อการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว และป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากความน่ากลัวของโรคดังกล่าว
โรคเบาหวาน คืออะไร
โรคเบาหวาน (Diabetes) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมน “อินซูลิน” (Insulin) ได้เพียงพอ หรืออาจเกิดจากภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างเต็มที่ หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ซึ่งปกติแล้ว อินซูลินมีหน้าที่สำคัญในการนำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อกระบวนการนี้บกพร่อง จะส่งผลให้น้ำตาลตกค้างอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณมาก และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่ออวัยวะสำคัญต่าง ๆ ได้
สัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน ที่ไม่ควรมองข้าม
อาการของโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้นอาจไม่รุนแรงและค่อยเป็นค่อยไป ทำให้หลายคนอาจไม่ทันสังเกตเห็น ดังนั้นการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้นต่อไปนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- ปัสสาวะบ่อยและในปริมาณมาก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- กระหายน้ำมากกว่าปกติ และดื่มน้ำในปริมาณมาก
- หิวบ่อย รับประทานอาหารมากขึ้น แต่น้ำหนักกลับลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เนื่องจากเซลล์ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้
- สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน
- เป็นแผลแล้วหายช้า กว่าปกติ
- ติดเชื้อได้ง่าย เช่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง กระเพาะปัสสาวะ หรือในช่องคลอด
- มีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ
- ผิวหนังแห้งและมีอาการคัน
- พบรอยพับหรือปื้นสีดำคล้ำ บริเวณคอ รักแร้ หรือขาหนีบ (Acanthosis Nigricans) ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะดื้อต่ออินซูลิน
การวินิจฉัยและค่าระดับน้ำตาลในเลือด (เบาหวานค่าปกติเท่าไร?)
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการวางแผนการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ซึ่งไม่ได้อาศัยเพียงอาการที่แสดงออกเท่านั้น แต่ต้องได้รับการยืนยันผลผ่านการตรวจเลือดตามเกณฑ์ทางการแพทย์ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยจะมีอยู่หลากหลายวิธี เช่น
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร
- การตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม
- การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาลกลูโคส
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ณ เวลาใดก็ได้ (สำหรับผู้ที่มีอาการ)
การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด | เกณฑ์ปกติ | ภาวะก่อนเบาหวาน | ผู้ป่วยโรคเบาหวาน |
---|---|---|---|
ระดับน้ำตาลหลังงดอาหาร 8 ชม. (FPG) | < 100 mg/dL | 100 – 125 mg/dL | ≥ 126 mg/dL |
ความทนทานต่อน้ำตาล (OGTT) | < 140 mg/dL | 140 – 199 mg/dL | ≥ 200 mg/dL |
ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) | < 5.7% | 5.7% – 6.4% | ≥ 6.5% |
ระดับน้ำตาลในเลือด ณ เวลาใดก็ได้ RPG (ร่วมกับมีอาการ) | – | – | ≥ 200 mg/dL |
*mg/dL อ่านว่า มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (Milligram per deciliter) เป็นหน่วยวัด ‘ความเข้มข้น’ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในการรายงานผลตรวจเลือด เพื่อบอกว่ามีปริมาณของสสารชนิดหนึ่ง (หน่วยเป็นมิลลิกรัม) ละลายอยู่ในของเหลวปริมาณ 1 เดซิลิตร ว่ามีมากน้อยเพียงใด
โรคเบาหวาน แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร เกิดจากสาเหตุไหนบ้าง ?
โรคเบาหวานสามารถจำแนกได้เป็นหลายชนิด ตามลักษณะอาการ รวมถึงสาเหตุของการเกิดโรคดังกล่าว โดยชนิดที่พบบ่อยที่สุด จะประกอบไปด้วย 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)
เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ (Autoimmune Disease) โดยภูมิคุ้มกันจะเข้าใจผิดและเข้าไปทำลาย เบต้าเซลล์ (Beta cells) ในตับอ่อน ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดอินซูลินอย่างสิ้นเชิง มักพบในเด็กและผู้ที่มีอายุน้อย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไปตลอดชีวิต
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
เรียกได้ว่าเป็นโรคเบาหวานซึ่งเพบบ่อยที่สุด โดยเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมกับร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ มักมีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน การขาดการออกกำลังกาย ตลอดจนปัจจัยทางพันธุกรรม โดยสาเหตุหลักมี 2 กลไกที่ทำงานร่วมกัน คือภาวะดื้อต่ออินซูลิน และการผลิตอินซูลินลดลง
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนที่สร้างระหว่างการตั้งครรภ์ ไปขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นชั่วคราว แม้ว่าภาวะนี้มักจะหายไปได้เองหลังจากคลอดบุตรแล้ว เนื่องจากระดับฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติ แต่ก็นับเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่บ่งชี้ว่าร่างกายมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในอนาคต
ซึ่งนอกจากโรคเบาหวานทั้ง 3 ประเภทที่พบได้บ่อยแล้ว ก็ยังสามารถพบโรคเบาหวานชนิดอื่น ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น โรคทางพันธุกรรม, โรคของตับอ่อน, หรือผลจากการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ได้ด้วยเช่นกัน
โรคเบาหวานรักษาได้อย่างไร
เป้าหมายหลักในการรักษาเบาหวานคือการควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ ควรเริ่มต้นจากหัวใจสำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ในกรณีที่จำเป็นแพทย์จะพิจารณาให้ใช้ยาร่วมด้วย ซึ่งมีทั้งยารับประทานสำหรับผู้ป่วยชนิดที่ 2 และยาฉีดอินซูลินที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยชนิดที่ 1 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : ถือเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ประกอบด้วยการควบคุมอาหาร การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- การใช้ยาทาน : สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ลดการสร้างน้ำตาลที่ตับ หรือเพิ่มความไวของร่างกายต่ออินซูลิน
- การใช้ยาฉีดอินซูลิน : จำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกราย และอาจใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลด้วยยารับประทานได้
- การตรวจติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ : ผู้ป่วยควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ไขมันในเลือด และตรวจหาภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เป็นประจำ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเบาหวาน
หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีในระยะยาว อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด : โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, ความดันโลหิตสูง
- ระบบประสาท (Diabetic Neuropathy) : อาการชาปลายมือปลายเท้า, ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ
- ไต (Diabetic Nephropathy) : ภาวะไตเสื่อม จนถึงขั้นไตวายเรื้อรัง
- ตา (Diabetic Retinopathy) : ภาวะเบาหวานขึ้นตา ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้
- ปัญหาที่เท้า : แผลที่เท้าหายยาก เสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงจนอาจต้องถูกตัดขา
ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
การดูแลตนเองอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน โดยมีสิ่งที่ต้องระวังในเบื้องต้น ดังนี้
- ทานยาและฉีดอินซูลินให้ตรงเวลา : ปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดยาหรือปรับยาเอง
- ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต : เรียนรู้การนับปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารแต่ละมื้อ เพื่อให้สอดคล้องกับยาที่ได้รับ และเลือกทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี
- หลีกเลี่ยงน้ำตาลแฝง : อ่านฉลากโภชนาการเสมอเพื่อระวังน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มแปรรูป เช่น น้ำผลไม้ ซอสปรุงรสต่าง ๆ
- การดูแลสุขภาพเท้า : ตรวจดูเท้าทุกวันเพื่อหารอยแผล รอยช้ำ หรือการติดเชื้อ เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการชาและแผลหายช้า สวมรองเท้าที่พอดีและไม่บีบรัด
- ระมัดระวังการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมความงาม : ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและแผลหายช้าหลังการผ่าตัด จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดเพื่อประเมินความพร้อมและวางแผนการดูแลอย่างรัดกุมก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมทุกชนิด
โรคเบาหวานห้ามทานอะไร ? รวมอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง/จำกัดปริมาณ
เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงจำเป็นต้องใส่ใจกับการเลือกรับประทานเป็นพิเศษ โดยควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่ให้น้ำตาลและไขมันสูง รวมถึงอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดผลกระทบ เช่น
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง : น้ำอัดลม, ชา, กาแฟหวานจัด, น้ำผลไม้กล่อง, นมเปรี้ยวรสหวาน
- ขนมหวานและเบเกอรี่ : เค้ก, คุกกี้, โดนัท, ขนมปังขาว, ขนมไทยที่มีรสหวานจัด
- อาหารแปรรูป : ไส้กรอก, แฮม, อาหารแช่แข็งสำเร็จรูป, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
- ไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว : ของทอด, ฟาสต์ฟู้ด, มาการีน, เนื้อสัตว์ติดมัน, หนังสัตว์
- ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง : ควรจำกัดปริมาณการทาน เช่น ทุเรียน, ลำไย, มะม่วงสุก, ขนุน
- ผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็มส่วน : ควรเลือกชนิดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนย
แนะนำวิธีป้องกันโรคเบาหวาน ที่สามารถทำตามได้ง่าย ๆ
โรคเบาหวานกลายเป็นหนึ่งในโรคใกล้ตัว ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน แต่ถึงแม้โรคดังกล่าวจะค่อนข้างอันตราย แต่ในหลายกรณีก็ยังถือว่าสามารถป้องกันได้ เพียงแค่หันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ป่วยก่อน ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้ ดังนี้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
- ทานผักให้หลากหลายในทุกมื้อ และเลือกทานธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เพราะใยอาหารจะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
เน้นโปรตีนจากปลา, อกไก่, ไข่, เต้าหู้ และถั่วต่าง ๆ - ลดของทอด, ฟาสต์ฟู้ด, เบเกอรี่, และมาการีน
- ขยับร่างกายให้มากขึ้น
- ดื่มน้ำเปล่า แทนเครื่องดื่มรสหวาน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดการความเครียด
- งดสูบบุหรี่
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพประจำปี
สรุปสัญญาณเตือนโรคเบาหวานที่ต้องระวัง พร้อมวิธีป้องกันที่ควรรู้
สัญญาณเตือนสำคัญของโรคเบาหวานที่ควรระวัง คืออาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเราสามารถป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ได้ด้วยการควบคุมอาหารและน้ำหนักตัว ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อการมีสุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลจากโรคเบาหวานในอนาคต
สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการหัตถการของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือสอบถามรายละเอียดหัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ที่
ช่องทางการติดต่อ
- Tel : 080-500-0123
- Line : @apexbeauty
- Tiktok : apexprofoundbeauty
- Facebook : APEX Hospital & Beauty Clinic
- Instagram : apexbeauty
- Youtube : Apex Beauty Clinic
- X (Twitter) : ApexProfound
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัท ฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาทองหล่อ