คีลอยด์ ปัญหาแผลเป็นที่มีลักษณะนูน หนา และมักขยายใหญ่กว่าขนาดของแผลเดิม โดยเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังที่มากเกินปกติของร่างกาย แม้แผลจะหายแล้วแต่ร่างกายยังคงผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นคีลอยด์ ซึ่งอาจส่งผลให้รู้สึกคัน เจ็บ หรือทำให้เสียความมั่นใจในรูปลักษณ์ได้ บทความนี้จะพาไปรู้จักสาเหตุของคีลอยด์ รวมถึงวิธีการรักษาและดูแลเพื่อให้แผลเรียบเนียนขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว
คีลอยด์ คืออะไร
คีลอยด์ (Keloid) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการซ่อมแซมผิวหนังที่ผิดปกติ โดยร่างกายผลิตคอลลาเจนมากเกินไปจนทำให้แผลนูน หนา และลุกลามเกินขอบเขตของแผลเดิม มักมีลักษณะสีชมพู แดง หรือเข้ม และอาจรู้สึกคัน เจ็บ หรือตึงได้ คีลอยด์พบได้บ่อยบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ หรือใบหู โดยอาจเกิดจากบาดแผลเล็กน้อย เช่น รอยสิว รอยเจาะ หรือแผลผ่าตัด
ลักษณะของคีลอยด์
คีลอยด์เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงรอยแผลธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างและรักษาได้ยาก ซึ่งลักษณะต่าง ๆ ของแผลคีลอยด์ มีดังนี้
- นูนเกินขอบเขตของแผลเดิม แผลคีลอยด์จะนูนขึ้นจากผิวหนังปกติ และลุกลามขยายใหญ่กว่าขอบเขตของบาดแผลเดิม ซึ่งเป็นจุดที่ใช้แยกออกจากแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) ที่มักไม่เกินขอบแผล
- มีสีแดง ชมพู หรือคล้ำ สีของคีลอยด์จะเปลี่ยนไปตามระยะเวลา เริ่มจากสีแดงหรือชมพูในช่วงแรก และอาจกลายเป็นสีน้ำตาลหรือคล้ำในระยะหลัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวสีเข้ม
- ผิวแข็งและยืดหยุ่นน้อย เนื้อของคีลอยด์มักจะแข็ง ตึง และมีลักษณะหนาแน่น ไม่ยืดหยุ่นเหมือนผิวปกติ ทำให้รู้สึกแน่นหรือไม่สบายผิวเมื่อสัมผัส
- มีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บ โดยเฉพาะในช่วงที่แผลกำลังพัฒนา อาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกรำคาญหรือไม่สบายตัว
- มีโอกาสขยายต่อเนื่อง คีลอยด์บางกรณีสามารถขยายขนาดได้เรื่อย ๆ แม้ว่าแผลเดิมจะหายดีแล้ว และไม่มีการบาดเจ็บใหม่เกิดขึ้น
สาเหตุของการเกิดแผลคีลอยด์
แม้แผลผ่าตัดหรือแผลทั่วไปจะหายดีแล้ว แต่บางครั้งร่างกายกลับซ่อมแซมมากเกินไปจนเกิดเป็นคีลอยด์ ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยง โดยเฉพาะในผู้ที่มีพื้นผิวหรือปัจจัยเฉพาะเจาะจง ดังนี้
- แผลผ่าตัดมีการตึงมากเกินไป เช่น หน้าอก ไหล่ หรือข้อพับ มักทำให้ร่างกายต้องเร่งสร้างคอลลาเจนเพื่อปิดแผลมากกว่าปกติ ส่งผลให้แผลนูนและกลายเป็นคีลอยด์ได้ง่าย
- การอักเสบหรือติดเชื้อหลังผ่าตัด จะทำให้กระบวนการฟื้นฟูของผิวหนังผิดปกติ ร่างกายจะส่งสัญญาณให้สร้างเนื้อเยื่อเพื่อซ่อมแซมอย่างต่อเนื่องและมากเกินไป จนกลายเป็นแผลคีลอยด์
- การดูแลแผลไม่ถูกวิธีหลังผ่าตัด เช่น ปล่อยให้แผลแห้งกรังเกินไป แกะสะเก็ดแผลก่อนเวลา หรือปล่อยให้แผลสัมผัสกับสิ่งสกปรก อาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนมากเกินจำเป็น
- มีประวัติเป็นคีลอยด์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากรอยสิว แผลผ่าตัด หรือการเจาะร่างกาย มีโอกาสสูงที่จะเกิดคีลอยด์ซ้ำ เพราะร่างกายมีแนวโน้มในการตอบสนองวยการสร้างคอลลาเจนมากผิดปกติ
- ตำแหน่งของแผลผ่าตัดอยู่ในจุดเสี่ยง เช่น หน้าอก ไหล่ หลัง หู หรือขากรรไกร ซึ่งมักเป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย หรือมีแรงดึงจากน้ำหนักของผิวหนังอยู่แล้ว
บริเวณที่มักเกิดแผลคีลอยด์
แม้คีลอยด์จะสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย แต่ก็มีบางตำแหน่งที่พบได้บ่อยกว่าจากลักษณะผิว ความตึง หรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งมักกระตุ้นให้แผลพัฒนาเป็นคีลอยด์ได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งพบได้ในตำแหน่งต่อไปนี้
- หน้าอก เป็นบริเวณที่มีแรงดึงจากการหายใจและการเคลื่อนไหวของแขน จึงทำให้แผลผ่าตัดหรือรอยสิวกลายเป็นคีลอยด์ได้ง่าย
- ไหล่และต้นแขน ตำแหน่งนี้มีการขยับอยู่ตลอดเวลา และมักเกิดแรงตึงที่ผิวหนังเมื่อเคลื่อนไหว จึงเสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์ โดยเฉพาะหลังการฉีดยา ผ่าตัด หรือเป็นสิว
- หลังส่วนบน มีแนวโน้มเกิดคีลอยด์ได้ง่ายเพราะผิวหนังบริเวณนี้หนา มีต่อมไขมันมาก และเสียดสีกับเสื้อผ้าอยู่บ่อยครั้ง
- หลังใบหูและติ่งหู มักเกิดจากการเจาะหูหรือการผ่าตัดบริเวณหลังหู ซึ่งเนื้อเยื่อส่วนนี้มีแนวโน้มตอบสนองต่อการซ่อมแซมมากเกินไป จึงกลายเป็นคีลอยด์ได้บ่อย
- ขากรรไกรหรือแนวกราม เป็นบริเวณที่ผิวหนังเคลื่อนไหวตลอดเวลา เช่น การพูดหรือเคี้ยวอาหาร จึงทำให้แผลเล็ก ๆ พัฒนาเป็นคีลอยด์ได้ง่าย โดยเฉพาะจากสิวอักเสบ
- หน้าท้อง โดยเฉพาะในผู้ที่ผ่านการผ่าตัดคลอดหรือผ่าตัดช่องท้อง มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูนหรือลุกลามเป็นคีลอยด์หากไม่ได้รับการดูแลแผลอย่างเหมาะสม
หัตถการที่มักทำให้เกิดคีลอยด์
หัตถการบางอย่างมีความเสี่ยงทำให้เกิดคีลอยด์ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลคีลอยด์อยู่แล้ว เช่น การผ่าตัดต่าง ๆ เช่น ผ่าคลอด ผ่าตัดเสริมหน้าอก ผ่าก้อนเนื้อ การเจาะหูหรือเจาะร่างกาย การปลูกผม การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ และการกำจัดไฝหรือหูด เนื่องจากกระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดบาดแผลบนผิวหนัง หากแผลหายไม่ดีหรือเกิดการอักเสบ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดคีลอยด์ได้ง่าย ดังนั้นผู้ที่มีประวัติควรแจ้งแพทย์ก่อนเข้ารับหัตถการเพื่อวางแผนการป้องกันล่วงหน้า
วิธีรักษาคีลอยด์ มีอะไรบ้าง
แม้คีลอยด์จะเป็นแผลเป็นที่รักษาได้ยากและมีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้ แต่ปัจจุบันก็มีหลายวิธีที่สามารถช่วยให้แผลเรียบลง สีจางลง หรือบรรเทาอาการคัน เจ็บ และป้องกันการลุกลามได้ โดยแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมกับลักษณะของแผล ดังนี้
การฉีดยาสเตียรอยด์
แพทย์จะฉีดตัวยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในเนื้อคีลอยด์โดยตรง เพื่อยับยั้งการอักเสบและลดการสร้างคอลลาเจนส่วนเกิน วิธีนี้ช่วยให้แผลนิ่มลง ยุบตัว และลดอาการคันหรือเจ็บได้ เห็นผลชัดเจนเมื่อทำต่อเนื่องทุก 3–4 สัปดาห์
การทายา
การใช้ยาทาประเภทซิลิโคนเจลหรือแผ่นซิลิโคนสามารถลดความตึงผิวหนังและป้องกันแผลนูน ใช้เป็นวิธีเสริมในการรักษาแผลคีลอยด์ขนาดเล็ก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ต้องใช้ต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์
การใช้โปรแกรมเลเซอร์
โปรแกรมเลเซอร์รอยแผลเป็นช่วยลดความแดง ความนูน และความคันของแผลคีลอยด์ ทำให้ผิวเรียบขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป มักใช้ร่วมกับการฉีดยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ด้านความสวยงาม
การผ่าตัดแผลคีลอยด์
การผ่าตัดคีลอยด์ออกเป็นทางเลือกในกรณีแผลขนาดใหญ่หรือดื้อยา แต่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้สูงหากไม่ดูแลต่อเนื่อง ซึ่งวิธีนี้มักต้องใช้การผ่าตัดร่วมกับการฉีดยาหรือการฉายรังสีภายหลังเพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นซ้ำในบริเวณเดิม
การฉายรังสี
เป็นวิธีลดการเจริญเติบโตของคอลลาเจนในแผลคีลอยด์ โดยใช้รังสีพลังงานต่ำฉายเฉพาะจุดหลังการผ่าตัด เหมาะกับคีลอยด์ที่กลับมาเป็นซ้ำบ่อยหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น แต่การฉายรังสีนั้นเป็นสิ่งที่อันตราย ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดคีลอยด์
แม้คีลอยด์จะเป็นปัญหาที่รักษาได้ยากและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ แต่ก็สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดได้หากดูแลผิวและแผลอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติเป็นคีลอยด์หรือมีแนวโน้มจะเกิดได้ง่าย การป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็น เช่น การเจาะหู เจาะร่างกาย หรือสักลาย หากเคยมีประวัติคีลอยด์มาก่อน ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดแผลใหม่ เพราะเสี่ยงเกิดคีลอยด์ซ้ำในจุดอื่นได้ง่าย
- ดูแลแผลอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก ทำความสะอาดแผลให้ถูกต้อง ป้องกันการติดเชื้อ ไม่แกะหรือรบกวนแผลในช่วงที่กำลังสมาน และควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้แผ่นซิลิโคนหรือยาทาเพื่อลดการเกิดแผลนูน
- หลีกเลี่ยงแสงแดดในบริเวณแผล แสงแดดสามารถกระตุ้นให้รอยแผลคล้ำและนูนขึ้นได้มากขึ้น ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงในบริเวณแผล หรือใช้ผ้าปิดบังไม่ให้ถูกแสงโดยตรง
- ใช้แผ่นซิลิโคนหรือเจลซิลิโคนอย่างต่อเนื่อง ซิลิโคนสามารถช่วยลดแรงตึงผิวหนัง ยับยั้งการสร้างคอลลาเจนส่วนเกิน และป้องกันไม่ให้แผลพัฒนาเป็นคีลอยด์ โดยควรใช้ตั้งแต่แผลเริ่มหายและต่อเนื่องอย่างน้อย 2–3 เดือน
- แจ้งแพทย์หากมีประวัติคีลอยด์ เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการป้องกันล่วงหน้า เช่น การเย็บแผลแบบลดแรงตึง การใช้ยาป้องกัน หรือการติดตามแผลอย่างใกล้ชิดหลังผ่าตัด
สรุป คีลอยด์ รักษายากหรือไม่
คีลอยด์ถือเป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่รักษาได้ค่อนข้างยาก เพราะมีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายแม้รักษาแล้ว และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ช้ากว่าแผลทั่วไป อย่างไรก็ตาม หากได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและใช้วิธีที่เหมาะสม ก็สามารถควบคุมอาการและลดความนูนของแผลได้ดี การเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรกและป้องกันไม่ให้ลุกลามจึงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการคีลอยด์ให้ได้ผลดีที่สุด
หากใครที่กำลังเจอกับปัญหาแผลคีลอยด์และสนใจโปรแกรมเลเซอร์รักษาแผลเป็น ที่ APEX สามารถจองคิวเพื่อสอบถามและปรึกษากับแพทย์ หรือใครที่มีข้อสงสัยและคำถามเพิ่มเติม สามารถทักเข้ามาสอบถามได้เลยค่ะ
ช่องทางการติดต่อ
- Tel : 080-500-0123
- Line : @apexbeauty
- Tiktok : apexprofoundbeauty
- Facebook : APEX Hospital & Beauty Clinic
- Instagram : apexbeauty
- Youtube : Apex Beauty Clinic
- X (Twitter) : ApexProfound
- Website : www.apexmedicalcenter.co.th
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัท ฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับสาขาทองหล่อเท่านั้น
อ้างอิง
Mayo Clinic. (2023). Keloid Scars. From
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/keloid-scar/diagnosis-treatment/drc-20520902
American Family Physician. (2009). Management of Keloids and Hypertrophic Scars. From https://www.aafp.org/pubs/afp/issues/2009/0801/p253
National Library of Medicine. (2023). Keloid treatments: an evidence-based systematic review of recent advances. From https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10012475/