10 พฤติกรรมที่ทำให้เกิดปัญหาถุงใต้ตา
ปัญหาถุงใต้ตาไม่ได้เกิดจากอายุและพันธุกรรมที่ควบคุมได้ยากเท่านั้น แต่พฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างที่เราคาดไม่ถึง ก็เป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาดังกล่าวได้เช่นกัน ดังนั้นการรู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงสิ่งพฤติกรรมเหล่านี้ จะช่วยให้ดูแลผิวรอบดวงตาได้ดีขึ้น และคงผลลัพธ์หลังผ่าตัดถุงใต้ตาให้นานขึ้นได้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ควรระวัง ดังนี้
1. พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หรือการนอนดึกจนเป็นประจำ ส่งผลโดยตรงต่อระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองบริเวณรอบดวงตา ทำให้การระบายของเสียและของเหลวส่วนเกินทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงเกิดการสะสมและคั่งค้างของของเหลว ทำให้ผิวหนังที่บอบบางใต้ดวงตาปรากฏอาการบวมตุ่ยและหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด
2. ทานอาหารรสเค็มจัด
การทานอาหารที่มีรสเค็มจัดเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมที่สูงเกินความต้องการ ซึ่งโซเดียมส่วนเกินนี้จะกระตุ้นให้ร่างกายพยายามรักษาสมดุล ด้วยการกักเก็บน้ำไว้ในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ มากขึ้น ผลลัพธ์คือเกิดอาการบวมน้ำตามส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่บอบบางใต้ดวงตาซึ่งจะแสดงอาการบวมได้ง่ายและชัดเจนขึ้น
3. สูบบุหรี่
สารพิษมากมายที่แฝงอยู่ในควันบุหรี่เป็นศัตรูตัวร้ายของผิวพรรณโดยตรง ซึ่งสารเหล่านั้นจะเข้าไปทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นเส้นใยโปรตีนสำคัญที่มอบความยืดหยุ่นและความกระชับแก่ผิว เมื่อโปรตีนเหล่านี้ถูกทำลาย ผิวรอบดวงตาจึงสูญเสียความเต่งตึง หย่อนคล้อยลง และก่อให้เกิดถุงใต้ตาที่เห็นได้ชัดมากขึ้น
4. ดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก หรือบ่อยครั้งเกินไป ส่งผลเสียต่อสมดุลน้ำในร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวพรรณโดยรวมจึงแห้งกร้าน ทั้งยังกระตุ้นให้หลอดเลือดฝอยบริเวณใบหน้าขยายตัว ดังนั้นเมื่อมีปัจจัยเหล่านี้รวมกัน โดยเฉพาะการขยายตัวของหลอดเลือดและความแห้งกร้าน จึงอาจส่งผลให้เกิดอาการบวมและปัญหาถุงใต้ตาได้
5. แสงแดด-รังสียูวี
การเผชิญแสงแดดจัดโดยปราศจากการป้องกันเป็นประจำ ทำให้ผิวได้รับรังสียูวีโดยตรง ซึ่งรังสียูวีเหล่านี้มีความสามารถในการเข้าไปทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างค้ำจุนผิว ทำให้ผิวรอบดวงตาที่บอบบางเกิดการเสื่อมสภาพก่อนวัย เกิดความหย่อนคล้อย ริ้วรอย และปัญหาถุงใต้ตาที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
6. ขยี้ตาบ่อย-รุนแรง
พฤติกรรมการขยี้ตาบ่อยครั้งหรือขยี้อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากอาการคัน ภูมิแพ้ หรือแม้แต่ความเคยชิน อาจเป็นการทำร้ายผิวหนังที่ค่อนข้างบอบบางบริเวณรอบดวงตา ทำให้เกิดการเสียดสี ระคายเคือง และอาจนำไปสู่การอักเสบ ซึ่งการทำพฤติกรรมดังกล่าวซ้ำ ๆ เป็นการทำลายความยืดหยุ่นของผิว กระตุ้นให้ผิวหย่อนคล้อยและเกิดถุงใต้ตาได้
7. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
การดื่มน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ รวมถึงเซลล์ผิวขาดน้ำ ผิวพรรณจึงสูญเสียความชุ่มชื้นที่จำเป็น ดูแห้งกร้าน ไม่เปล่งปลั่ง โดยเฉพาะผิวรอบดวงตาที่ค่อนข้างบอบบาง แสดงอาการได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนั้นความแห้งยังทำให้ผิวรอบดวงตาดูเหี่ยวย่น และหากมีถุงใต้ตาอยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นกว่าเดิม
8. ความเครียดสะสม
ภาวะความเครียดที่สะสมส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ซึ่งความไม่สมดุลของฮอร์โมนนี้ สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบภายใน และมักจะรบกวนคุณภาพการนอนหลับให้แย่ลง ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวโดยรวม โดยเฉพาะผิวรอบดวงตาที่อาจแสดงออกด้วยความหมองคล้ำและถุงใต้ตาที่ชัดเจนขึ้น
9. มองหน้าจอเป็นเวลานาน
การใช้สายตาจ้องมองหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานต่อเนื่อง ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกิดอาการอ่อนล้า ดวงตาแห้งผากเนื่องจากการกะพริบตาน้อยลง และอาจเผลอขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความไม่สบายตา แต่ยังเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ผิวรอบดวงตาอ่อนแอลงและถุงใต้ตาดูเด่นชัดได้ด้วย
10. ไม่ล้างเครื่องสำอางก่อนนอน
ในบางครั้ง หลายคนอาจละเลยที่จะทำความสะอาดเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาก่อนเข้านอน ทำให้เกิดการทิ้งสิ่งตกค้างไว้บนผิว ซึ่งเครื่องสำอางที่สะสมจะรวมกับสิ่งสกปรกและน้ำมันจากผิว จะเข้าไปอุดตันรูขุมขน ก่อให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ เสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และทำให้ถุงใต้ตาปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น








