สำหรับใครที่ขาดความมั่นใจจากหน้าอกที่ดูไม่สมส่วน หรือต้องการปรับลุคให้มีสเน่ห์มากขึ้น การทำศัลยกรรมหน้าอกถือเป็นหนึ่งในวิธีการที่ค่อนข้างตอบโจทย์ อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ผู้เข้ารับการผ่าตัดมักมีความกังวลคือแผลเป็นเสริมหน้าอก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามกระบวนการรักษาแผลของร่างกาย แต่จะมีปัจจัยไหนเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง อันตรายหรือไม่ และหายไปเองได้หรือเปล่า วันนี้ Apex พร้อมตอบแบบเจาะลึก พร้อมแนะนำวิธีดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมให้แล้ว
แผลเป็นเสริมหน้าอกหายเองได้ไหม
คำถามนี้เป็นข้อสงสัยที่พบบ่อย ซึ่งแผลเป็นเสริมหน้าอกอาจไม่สามารถหายไปได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทั้งนี้แผลเป็นตามปกติจะค่อย ๆ จางลงและเรียบเนียนขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยอาจใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 ปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลักษณะผิวของแต่ละบุคคล พันธุกรรม และการดูแลหลังผ่าตัด ทำให้ในบางรายอาจพิจารณาการทำหัตถการอย่างโปรแกรม UltraClear เพื่อแก้ไขปัญหาแผลเป็นเสริมหน้าอกตามความเหมาะสม
แผลเป็นหลังเสริมหน้าอกคืออะไร
แผลเป็นหลังเสริมหน้าอก (Post-Breast Augmentation Scar) คือเนื้อเยื่อพังผืด ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมบาดแผลบริเวณที่ศัลยแพทย์ทำการกรีดเปิดผิวหนังเพื่อใส่ถุงซิลิโคน ซึ่งกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่นี้เป็นกลไกการรักษาแผลตามปกติของร่างกาย โดยร่างกายจะผลิตคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อเนื้อเยื่อที่แยกจากกันให้กลับมาสมานกันอีกครั้ง
แผลเป็นเสริมหน้าอก เกิดขึ้นได้อย่างไร
กระบวนการเกิดแผลเป็นเสริมหน้าอก เป็นกระบวนการทางชีววิทยาที่ซับซ้อนและเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
- ระยะอักเสบ: เป็นปฏิกิริยาแรกของร่างกายหลังเกิดบาดแผล หลอดเลือดจะหดตัวเพื่อห้ามเลือด จากนั้นจะมีการขยายตัวเพื่อให้เซลล์เม็ดเลือดขาวและสารน้ำต่าง ๆ เข้ามาในบริเวณแผลเพื่อกำจัดเชื้อโรคและเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว
- ระยะสร้างเนื้อเยื่อ: ร่างกายจะเริ่มสร้างเนื้อเยื่อใหม่ โดยมีการสร้างคอลลาเจนและหลอดเลือดฝอยขึ้นมาเพื่อเติมเต็มบาดแผล
- ระยะปรับสภาพ: เป็นระยะสุดท้ายที่ใช้เวลายาวนานที่สุด อาจนานเป็นปี คอลลาเจนที่เคยจัดเรียงตัวอย่างไม่เป็นระเบียบจะค่อย ๆ ถูกปรับเปลี่ยนและจัดเรียงตัวใหม่ ทำให้แผลเป็นมีความเรียบเนียน นุ่มลง และมีสีที่จางลงใกล้เคียงกับสีผิวปกติ
ลักษณะของแผลเป็นเสริมหน้าอก
หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก อาจทำให้เกิดแผลเป็นเสริมหน้าอกได้ ซึ่งลักษณะของแผลที่ปรากฏอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรมและการตอบสนองของร่างกาย โดยทางการแพทย์มีการจำแนกลักษณะของแผลเป็นที่พบบ่อยได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
- แผลเป็นปกติ (Normal Scar) : ในช่วงแรกแผลอาจมีสีแดงหรือชมพูและนูนเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป (ประมาณ 6-12 เดือน) แผลจะค่อย ๆ เรียบแบนลง นุ่มขึ้น และมีสีจางลงจนใกล้เคียงกับสีผิวโดยรอบ
- แผลเป็นนูนเกิน (Hypertrophic Scar) : เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูนแดง แต่ขอบเขตของแผลยังคงอยู่ภายในบริเวณรอยกรีดเดิม ไม่ลุกลามไปยังผิวหนังปกติข้างเคียง มักเกิดจากการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไปในระหว่างกระบวนการรักษาแผล
- แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid Scar) : เป็นแผลเป็นนูนที่มีความผิดปกติมากสุด มีลักษณะนูน แข็ง สีแดงเข้มหรือสีคล้ำ และที่สำคัญคือมีการขยายตัวลุกลามเกินขอบเขตของแผลเดิมไปยังผิวหนังปกติโดยรอบ อาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์
การเกิดแผลเป็นหลังการผ่าตัดถือเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู แต่ในบางราย แผลเป็นอาจพัฒนาไปเป็นคีลอยด์ ซึ่งมีลักษณะนูนแข็งและขยายใหญ่เกินขอบแผลเดิม เช่น
- พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นคีลอยด์ จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- เชื้อชาติและสีผิว: ผู้ที่มีผิวสีเข้มมีแนวโน้มที่จะเกิดคีลอยด์ได้ง่ายกว่าผู้ที่มีผิวขาว
- อายุ: มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี เนื่องจากร่างกายยังมีการสร้างคอลลาเจนที่ค่อนข้างสูง
- ตำแหน่งของแผล: บริเวณที่มีความตึงของผิวหนังสูง เช่น หน้าอก หัวไหล่ หลังส่วนบน มีความเสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์ได้มากกว่าบริเวณอื่น
- การติดเชื้อหรือการอักเสบ: หากแผลผ่าตัดเกิดการติดเชื้อหรือมีการอักเสบที่รุนแรง จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างพังผืดมากกว่าปกติและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นนูน
- ขนาดซิลิโคน: หากใส่ซิลิโคนขนาดใหญ่เกินไปจนผิวหนังตึง อาจทำให้แผลขยายและเกิดรอยแผลเป็นชัดเจนขึ้น
- การดูแลหลังผ่าตัด: การดูแลแผลไม่ดี เช่น ปล่อยให้แผลโดนน้ำ ไม่หลีกเลี่ยงการขยับแขนมากเกินไป หรือไม่ทายาลดรอยแผลเป็น อาจทำให้แผลหายช้าและเกิดแผลเป็นชัดเจนขึ้น
ตำแหน่งของแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก
ตำแหน่งของแผลเป็นเสริมหน้าอก จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการผ่าตัด ซึ่งศัลยแพทย์จะเลือกตำแหน่งการกรีดแผลโดยพิจารณาจากสรีระ ขนาดและชนิดของซิลิโคน รวมถึงความต้องการของผู้เข้ารับบริการ โดยตำแหน่งที่พบบ่อยมี 3 บริเวณหลัก ดังนี้
แผลใต้ราวนม (Inframammary Fold)
เป็นตำแหน่งที่ศัลยแพทย์ส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อศัลยกรรมหน้าอก เพราะช่วยให้สามารถควบคุมตำแหน่งของซิลิโคนได้ค่อนข้างแม่นยำ รอยแผลจะเป็นเส้นตรงยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ซึ่งอาจจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นในท่านอนหงาย การดูแลรักษาแผลไม่ซับซ้อน แต่ต้องระวังเรื่องความอับชื้นจากเหงื่อที่อาจสะสมอยู่ใต้ราวนม
แผลรอบปานนม (Periareolar)
ศัลยแพทย์จะกรีดแผลบริเวณรอยต่อระหว่างผิวหนังและขอบของปานนม ข้อดีคือรอยแผลจะกลมกลืนไปกับสีและผิวสัมผัสที่ไม่เรียบของปานนม ทำให้สังเกตเห็นได้ยาก แต่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดของซิลิโคนและต้องมีขนาดปานนมที่ใหญ่พอที่จะซ่อนรอยแผลและนำซิลิโคนเข้าได้ รวมถึงการดูแลก็ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นผิวที่บอบบางและอาจเกิดรอยแผลเป็นนูนได้หากดูแลไม่ดี
แผลที่รักแร้ (Transaxillary)
เป็นการเปิดแผลในบริเวณรักแร้ แล้วสอดซิลิโคนเข้าไปยังตำแหน่งหน้าอก วิธีนี้มีข้อดีคือจะไม่มีรอยแผลเป็นบนเต้านมเลย แต่รอยแผลจะอยู่ที่รักแร้แทน โดยมักใช้กล้องเอ็นโดสโคปช่วยในการผ่าตัด แม้จะไม่มีแผลบนหน้าอก แต่รอยแผลอาจถูกสังเกตเห็นได้เมื่อยกแขนขึ้น เช่น ขณะใส่เสื้อแขนกุดหรือชุดว่ายน้ำ การดูแลแผลช่วงแรกอาจไม่สะดวกสบายนักเนื่องจากการเคลื่อนไหวของแขน และต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
วิธีดูแลแผลเสริมหน้าอก ป้องกันคีลอยด์
การดูแลแผลอย่างถูกวิธีเป็นหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยง และทำให้แผลเป็นเสริมหน้าอกบรรเทาลงตามกระบวนการ ไม่รุนแรงจนกระทบต่อผลลัพธ์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการทำความสะอาดแผล หลีกเลี่ยงการให้แผลโดนน้ำโดยตรงจนกว่าจะได้รับอนุญาต
- งดการยกของหนัก การออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อหน้าอก หรือกิจกรรมที่ทำให้ผิวหนังบริเวณแผลตึงเกินไป
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ทั้งยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
- การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น เช่น แผ่นซิลิโคนเจล หรือซิลิโคนเจลชนิดทา ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง และลดการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป
- นวดเบา ๆ บริเวณแผลเป็น (หลังจากแผลหายสนิทแล้ว) ช่วยให้พังผืดนุ่มลงและจัดเรียงตัวได้ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดและควรทาครีมกันแดดบริเวณแผลเป็นทุกครั้งที่ต้องออกแดด เพราะแสงแดดอาจกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี Melanocyte ทำให้แผลเป็นมีสีคล้ำขึ้น
แผลเป็นเสริมหน้าอกแบบไหน ที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
โดยปกติแล้ว แผลเป็นหลังการเสริมหน้าอกจะค่อย ๆ ดีขึ้นและจางลงตามการฟื้นฟูร่างกายตามธรรมชาติ แต่ในบางกรณีร่างกายอาจส่งสัญญาณเตือนว่าเกิดความผิดปกติขึ้น ทำให้แผลเป็นเสริมหน้าอกรุนแรง และต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น
- มีสัญญาณของการติดเชื้อ: แผลมีอาการบวม แดงร้อนผิดปกติ มีหนองหรือของเหลวสีขุ่นไหลซึมออกมาจากแผล รู้สึกเจ็บปวดบริเวณแผลมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจเกิดการติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
- แผลแยกหรือเปิดออก: สังเกตเห็นว่าขอบแผลที่เคยเย็บติดกันสนิทมีการแยกออกจากกัน หรือแผลปริเปิดออก ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือเป็นแนวยาวก็ตาม เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและส่งผลให้เกิดแผลเป็นที่ใหญ่และรักษายากขึ้นในอนาคต
- แผลเป็นนูนขึ้นอย่างรวดเร็ว (คีลอยด์หรือแผลเป็นนูนเกิน): แผลมีลักษณะนูนแข็งขึ้นอย่างผิดปกติ มีอาการคันหรือเจ็บปวดบริเวณแผลตลอดเวลา และที่สำคัญคือแผลเป็นขยายขนาดใหญ่เกินรอยแผลเดิม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของแผลเป็นชนิดคีลอยด์ ที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์โดยเฉพาะ
สรุปแผลเป็นเสริมหน้าอกอันตรายไหม ป้องกันอย่างไรดี
แผลเป็นหลังการเสริมหน้าอกเป็นสิ่งที่มีโอกาสพบได้หลังทำศัลยกรรม แม้จะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ ความมั่นใจ รวมถึงรูปลักษณ์โดยรวมในระยะยาว ทั้งนี้ทุกคนสามารถดูแลจัดการเพื่อให้บรรเทาความรุนแรง โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดูแลแผลอย่างถูกสุขลักษณะ หรือปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อรับการประเมินและวางแผนการทำหัตถการอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นเสริมหน้าอกได้
สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับแผลเป็นเสริมหน้าอก หรือสอบถามรายละเอียดหัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ที่
ช่องทางการติดต่อ
- Tel : 080-500-0123
- Line : @apexbeauty
- Tiktok : apexprofoundbeauty
- Facebook : APEX Hospital & Beauty Clinic
- Instagram : apexbeauty
- Youtube : Apex Beauty Clinic
- X (Twitter) : ApexProfound
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัท ฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ APEX Surgery Hospital : โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเอเพ็กซ์ สาขาเพลินจิต











