ความต้องการที่จะดูอ่อนเยาว์และมีใบหน้าที่กระชับนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทำให้การดึงหน้าเป็นหัตถการที่หลายคนให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม ในวงการศัลยกรรมความงามที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเลือกทำศัลยกรรมดึงหน้าด้วย ‘เทคนิคเก่า’ หรือแบบดั้งเดิมที่เคยนิยมในอดีต อาจนำมาซึ่งข้อจำกัดและผลลัพธ์ที่แตกต่างจากเทคนิคสมัยใหม่อย่างมาก เพื่อให้คุณมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึง 10 ข้อเสียสำคัญที่ควรรู้ ก่อนที่จะเลือกวิธีการย้อนวัยให้ใบหน้าด้วยเทคนิคที่อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
10 ข้อเสียของการดึงหน้าด้วยเทคนิคแบบเก่า
1. ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติ
เทคนิคเก่ามักเน้นการดึงผิวหนังให้ตึงเพียงอย่างเดียว ทำให้ใบหน้าดูตึงแบบดึงรั้ง ขาดมิติ หรือที่เรียกว่า “หน้ากาก” (mask-like) หรือ “อุโมงค์ลม” (wind-tunnel look) ขาดความเป็นธรรมชาติ
2. ผิวกลับมาหย่อนคล้อยเร็ว
สาเหตุหลักที่ทำให้ผลลัพธ์ของการดึงหน้าด้วยเทคนิคเก่าอยู่ได้ไม่นาน คือการผ่าตัดมักเน้นแก้ไขเพียงชั้นผิวหนังด้านนอก โดยไม่ได้ยกกระชับหรือแก้ไขชั้น SMAS ซึ่งเป็นโครงสร้างพยุงหลักของใบหน้าอย่างเพียงพอ หรือแม้จะมีการยกกระชับชั้น SMAS ก็อาจทำได้ในระดับที่ไม่มากพอ เทคนิคเก่าจึงมักอาศัยการตัดผิวหนังส่วนเกินออกจำนวนมากเพื่อให้เกิดความตึง แต่เมื่อผิวหนังซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่บางและมีความยืดหยุ่นสูงต้องรับแรงดึงเป็นหลัก ในที่สุดผิวก็จะถูกดึงกลับและหย่อนคล้อยลงมาอีกครั้ง เนื่องจากความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อชั้นลึกซึ่งเป็นต้นเหตุที่แท้จริงยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม
3. การแก้ไขความหย่อนคล้อยบริเวณกลางใบหน้าและลำคอได้จำกัด
การดึงแบบเดิม ๆ อาจไม่สามารถยกกระชับบริเวณกลางใบหน้า (แก้มส่วนบน) หรือแก้ไขปัญหาริ้วรอยและเหนียงบริเวณลำคอได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าเทคนิคที่เน้นการยกกระชับในแนวดิ่ง (vertical lift) หรือการทำโปรแกรมดึงหน้า Deep Plane
4. โอกาสเกิดติ่งหูผิดรูป
การดึงผิวหนังบริเวณหน้าหูที่มากเกินไป หรือการเย็บแผลที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ติ่งหูถูกดึงลงมาติดกับแก้ม ดูไม่เป็นธรรมชาติ เรียกว่า “Pixie Ear”
5. การเปลี่ยนแปลงของแนวไรผม
การลงแผลและการดึงผิวหนังในเทคนิคเก่าบางแบบ อาจทำให้แนวไรผมบริเวณขมับหรือหลังหูเลื่อนขึ้นหรือเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดูไม่เป็นธรรมชาติ
6. มีรอยแผลเป็นที่เห็นชัดและยาว
การดึงหน้าแบบเทคนิคเก่ามักมีรอยแผลผ่าตัดที่ยาวกว่าและอาจอยู่ในตำแหน่งที่สังเกตเห็นได้ง่ายกว่า เช่น บริเวณหน้าหูหรือหลังหู การเย็บแผลอาจไม่ละเอียดเท่าปัจจุบัน ทำให้เกิดแผลเป็นนูนหรือกว้างได้
7. ความเสี่ยงต่อเส้นประสาทสูงกว่า
การผ่าตัดในชั้นที่ตื้นกว่าหรือการเลาะเนื้อเยื่อที่ไม่แม่นยำ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า (facial nerve) ทำให้เกิดอาการปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิทชั่วคราวหรือถาวร
8. ระยะเวลาพักฟื้นนานและบวมช้ำมาก
เทคนิคการดึงหน้าแบบดั้งเดิมมักเกี่ยวข้องกับการเลาะแยกชั้นผิวหนังออกจากเนื้อเยื่อข้างใต้ในบริเวณที่กว้างกว่า และอาจมีการจัดการกับหลอดเลือดและเนื้อเยื่อที่ไม่ละเอียดเท่าเทคนิคปัจจุบัน ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อและหลอดเลือดฝอยเล็ก ๆ มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการคั่งของเลือดและของเหลวใต้ผิวหนัง ได้ง่ายกว่า นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้ามีอาการบวมและปรากฏรอยฟกช้ำได้ชัดเจน เป็นวงกว้าง และยาวนานกว่าเมื่อเทียบกับเทคนิคสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อให้น้อยที่สุด
9. ไม่ได้แก้ไขปัญหาเรื่องปริมาตรใบหน้าที่หายไป
เทคนิคการดึงหน้าแบบเก่ามักมุ่งเน้นไปที่การ “ดึง” ผิวหนังที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้นเท่านั้น โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการ “เติมเต็ม” หรือ “จัดเรียงใหม่” ของปริมาตรไขมันและเนื้อเยื่ออ่อนบนใบหน้าที่สูญเสียไปตามวัย หรือที่เคลื่อนตัวลงมาอยู่ผิดตำแหน่ง เมื่ออายุมากขึ้น ใบหน้าไม่ได้มีเพียงผิวหนังที่หย่อน แต่ยังมีการฝ่อลีบของไขมันใต้ผิวหนัง การยุบตัวของกระดูก ทำให้ใบหน้าดูซูบตอบ แก้มแบน ขมับตอบ หรือใต้ตาลึกโบ๋ การดึงหน้าแบบเก่าจึงอาจทำให้ใบหน้าดูตึงขึ้นจริง แต่ยังคงดูซูบผอมได้
10. เสียค่าใช้จ่ายสูงเพราะต้องแก้ใหม่
ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของคุณหรือผลลัพธ์ที่มีปัญหา อาจทำให้คุณต้องเสียเงินซ้ำเพื่อกลับไปแก้ไข
ใครที่ยังไม่ควรผ่าตัดดึงหน้า
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นวิธีที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะสมกับการผ่าตัดนี้ ผู้ที่ควรพิจารณาเลื่อนการผ่าตัด ได้แก่:
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง: เช่น โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, หรือโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการหายของแผล
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด: การสูบบุหรี่ชะลอการไหลเวียนของเลือดและทำให้แผลหายช้า เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด: เช่น Warfarin หรือ Aspirin ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของเลือดคั่งหลังผ่าตัด
- ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อหรือโรคผิวหนัง: เช่น สิวอักเสบรุนแรง หรือการติดเชื้อที่ใบหน้า ควรรักษาให้หายก่อน
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นนูน (Keloid): ซึ่งอาจเสี่ยงต่อแผลเป็นที่ไม่สวยงาม
- ผู้ที่มีความคาดหวังที่ไม่สมจริง: การดึงหน้าไม่สามารถหยุดกระบวนการแก่หรือเปลี่ยนแปลงใบหน้าอย่างรุนแรง
- ผู้ที่ไม่พร้อมทางจิตใจ: เช่น ผู้ที่เผชิญกับภาวะซึมเศร้าหรือความเครียดรุนแรง
- ผู้ที่ใช้ Isotretinoin ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา: ยานี้อาจส่งผลต่อการหายของแผล
- ผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำหลังผ่าตัด: การดูแลหลังผ่าตัดสำคัญต่อผลลัพธ์ที่ดี
การพิจารณาความพร้อมและการปรึกษาแพทย์ก่อนผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สรุปข้อเสียของการดึงหน้าแบบเก่า เลือกเทคนิคที่ทันสมัยให้ดีกว่าเดิม
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นทางเลือกยอดนิยมเพื่อคืนความอ่อนเยาว์ แต่สิ่งสำคัญคือการตระหนักถึงข้อเสียของการดึงหน้าที่เทคนิคแบบดั้งเดิมที่อาจให้ผลลัพธ์ไม่เป็นธรรมชาติ มีความเสี่ยงสูง และอยู่ได้ไม่นานนัก การทำความเข้าใจเทคนิคที่ทันสมัย เช่นโปรแกรม Deep Plane หรือโปรแกรม Mini Facelift ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า รวมถึงการเลือกศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และการประเมินความเหมาะสมของตนเองอย่างถี่ถ้วน ทั้งด้านสุขภาพและความคาดหวัง จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและปลอดภัยในระยะยาว หลีกเลี่ยงปัญหาและค่าใช้จ่ายที่อาจตามมาจากการเลือกที่ไม่เหมาะสม
หากท่านใดสนใจโปรแกรมดึงหน้าสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาคุณหมอ ของ APEX ก่อนได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้ค่ะ
ช่องทางการติดต่อ
- Tel : 080-500-0123
- Line : @apexbeauty
- Tiktok : apexprofoundbeauty
- Facebook : APEX Hospital & Beauty Clinic
- Instagram : apexbeauty
- Youtube : Apex Beauty Clinic
- X (Twitter) : ApexProfound
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัท ฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ APEX Surgery Hospital : โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเอเพ็กซ์ สาขาเพลินจิต